วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2

วันพุธที่ 24 มกราคม 2561

เนื้อหาการเรียนการสอน



              วันนี้เป็นการเรียนสัปดาห์ที่ 2 ของรายวิชาการบริหารจัดการสถานศึกษาปฐมวัย บรรยากาศภายในห้องเรียนครึ้กครื้นมาก ก่อนจะเข้าเนื้อหาการเรียนการสอนอาจารย์ก็ได้พูดคุยกับนักศึกเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในขณะที่รอเพื่อนๆมาครบ หลังจากที่เพื่อนๆมาครบแล้วอาจารย์ก็มีคำถามให้นักศึกษาได้ตอบไปพร้อมๆกันก่อนที่จะเข้าสู้เนื้อหาการเรียนของวันนี้


หลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้ส่งทฤษฎี 2 ทฤษฎี ที่อาจารย์ให้ไปหาข้อมูลเพื่อที่จะได้เรียนรู้ข้อมูลก่อนว่ามีทฤษฎีไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร

  


การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย

ความหมายและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา  (การบริหารคืออะไร)

ความหมายของการบริหารการศึกษา ( Education Administration )
การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา ความหมายของ “การบริหาร” มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
     * การบริหาร คือ ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
     * การบริหาร คือ การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
     * การบริหาร คือ การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน
     ** จากความหมายของ “การบริหาร” พอสรุปได้ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้”* การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
* การศึกษา คือ การสร้างเสริมประสบการณ์ให้ชีวิต
* การศึกษา คือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามทุกทางในตัวบุคคล
** จากความหมายของ “การศึกษา” ข้างบนนี้พอสรุปได้ว่า “การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี”

พัฒนาการของทฤษฏีทางการบริหาร
- ทฤษฏีเชิงระบบ
- ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์
- ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่

ความหมายของการบริหารการศึกษา ( Education Administration )
             ส่วนความหมายของ “การศึกษา” มีผู้ให้ความหมายไว้คล้ายๆกัน ดังนี้เมื่อนำความหมายของ “การบริหาร” มารวมกับความหมายของ “การศึกษา” ก็จะได้ความหมายของ                                                                                        “การบริหารการศึกษา”    ว่า
“การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี”

ความหมายของการบริหารสถานศึกษา

           วีรชัย  วรรณศรี (2545) การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกในสังคมให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้วิโรจน์  สารัตนะ (2546) กล่าวว่า การการบริหารเป็นกระบวนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดหมายขององค์กร โดยอาศัยหน้าที่ทางการบริหารที่สำคัญประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การนำ (Leading) และการควบคุม(Controlling)เฉลิมชัย  สมท่า (2547)  กล่าวว่าการบริหารโรงเรียนเป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่จะต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

ความสำคัญของศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
         สรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี มีกลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม

ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
              จันทรานี  สงวนนาม (2545) กล่าวว่า เพื่อความอยู่ไม่สามารถใช้หลักเกณฑ์กำหนดบริหารองค์กร จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายของงานบุคลากรตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสมนงลักษณ์  วิรัชชัย (2545) กล่าวว่า การปฏิรูปสถานศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้บริหารผู้บริหารมีคุณลักษณะต่อไปนี้ คือ มีความสามารถทางการบริหารตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสมMckinson (2550) กล่าวว่า มนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหาร ถึงแม้ว่าคุณค่าของมนุษย์จะเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้และไม่สามารถใช้หลักเกณฑ์กำหนดคุณค่าเช่นเดียวกับวัตถุหรือสินค้าอื่นใด แต่ก็ยังถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีค่าและมีเกียรติสูงสุดสรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กร  สิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญ คือการบริหารงานบุคคล เพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กร ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ นั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี

หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา
-    หลักการบริหารงานบุคคล            
           สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545)  ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้1. การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี (Goal       / Expected / Output)2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)3. ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี (Input / Resource)4. ระบบควบคุม (Feedback / Control System)5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่ขอบข่ายของการบริหาร                กระทรวงศึกษาธิการ (2546) ได้กำหนดขอบข่ายภาระงานในการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 5 งาน ได้แก่
1. การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง2. การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง3. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ4. วินัยและการรักษาวินัย5. การออกจากราชการขอบข่ายของการบริหาร           
         สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2545) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 6 งาน ได้แก่
1. การวางแผนกำลังคน
2. การสรรหา
3. การบรรจุแต่งตั้ง
4. การพัฒนา
5. การธำรงรักษา
6. การให้พ้นจากงาน             
            สรุปได้ว่าขอบข่ายของการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการบริหารงานบุคคลนั้นมีภาระงานที่สำคัญๆ ที่สถานศึกษาควรปฏิบัติ ประกอบด้วย            
 1. การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง โดยมีการวิเคราะห์ภารกิจและประเมินสภาพความต้องการกำลังคน กับภารกิจของสถานศึกษามีการจัดทำภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และแจ้งภาระงาน มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ เกณฑ์ประเมินผลงานแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาก่อนมีการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน           
  2. การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการสอบแข่งขัน สอบคัดเลือกและคัดเลือกในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษในตำแหน่งครูผู้ช่วย    ครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา

การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  (Science and arts)                                                                              
   เป็น ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาสาสตร์           เป็น ศิลป์ เพราะต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์

ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษาความหมายของทฤษฏี
   กลุ่มของข้อเสนอ หรือ ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
   เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมละปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบ

ความจำเป็นในการศึกษาทฤษฏี
 ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ ในเมื่อทฤษฏีอยู่บนพื้นฐานของตรรกวิทยา มีเหตุผลแม่นยำ ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติก็จะมีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกัน ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย


ทัศนะดั้งเดิม (Classical viewpoint)
  การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
  การจัดการเชิงบริหาร
  การบริหารแบบราชการ

1.การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management)      
          Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ได้เสนอ หลัก 4 ประการ                
1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน                
2. มีการวางแผนการทำงาน                
3. คัดเลือกคนทำงาน                
4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ

2.ทฤษฏีการจัดการเชิงบริหาร (Administration management)
•  Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC
  Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
  Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayol    โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB ซึ่งเป็นหน้าที่ 7 ประการ

2.ทฤษฏีการบริหารแบบราชการ (Bureaucratic management)
  Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ                 
1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ                
2. ความไม่เป็นส่วนตัว                
3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง                
4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา                
5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง                
6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ                
7. ความเป็นเหตุเป็นผล

ข้อเสียของระบบราชการ.......
   ระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป ไม่ยืดหยุ่นทำให้งานล่าช้า ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์
   การรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ตัดสินใจล่าช้า ไม่ทันเหตุการณ์และเทคโนโลยี
   การมีสายการบังคับบัญชา ทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่น ประจบประแจง
   การแบ่งงานตามความถนัดเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดการสร้างอาณาจักร

ทั้ง 3 ทฤษฏี มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร  

ความเหมือน
1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ การมีสายการบังคับบัญชา กำหนดหน้าที่ของการบริหาร เน้นหลักการ             
2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน ความต้องปรับตัวเข้ากับงาน             
3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ ระบบคุณธรรม เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล             
4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพ กำไร   

ความต่าง
Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one best wayFayol   : เน้นหลักการ 14 หลักการWeber   : เน้นระเบียบข้อบังคับ มีเกณฑ์ประเมินผล

ทัศนะเชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)
  ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก
   การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
   ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์
   หลักพฤติกรรมศาสตร์

ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก  (Early behavioral theories)
  Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม  ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะสมกับงาน
  Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมีส่วนร่วม

2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne studies)
   การทดลองของบริษัท เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
   ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่า          
- เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว          
- กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ

 3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์  (Human relation movement)
   Abraham Maslow :  มาสโลว์   ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
   Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์   ทฤษฏี X และทฤษฏี Y

ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
- เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน
- ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย
- เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์ สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X
- ทฤษฏี X มองว่าคนไม่ชอบทำงาน เลี่ยงความรับผิดชอบ
- ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ ต้องควบคุมมาก
- ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน
- คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้ มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจากเพื่อนร่วมงาน
- คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

4. หลักพฤติกรรมศาสตร์  (Behavioral science approach)
 เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ สาขาต่างๆ เมื่อ
 นำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke 

ทัศนะเชิงปริมาณ (Quantitative viewpoint)
- การบริหารศาสตร์- การบริหารปฏิบัติการ - ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร

1.การบริหารศาสตร์ (Management science)
  มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ ซึ่งแพร่หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น 

2. การบริหารปฏิบัติการ (Operation management)
  ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ
  กำหนดตารางการทำงาน
  วางแผนการผลิต
  การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ
  การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น เทคนิคการทำนายอนาคต
  การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน การวางแผน และควบคุมโครงการ

3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (management Information System)
สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหาร (Computer based information system : CBISs) 

ทัศนะร่วมสมัย (Contemporary viewpoint)
1. ทฤษฏีเชิงระบบ (System theory)ระบบแบ่งออกเป็น 
2 ลักษณะ คือ ระบบเปิดและระบบปิด ระบบเปิดและระบบปิดไม่ได้แยกออกจากกัน                             มีลักษณะอยู่ 9 ประการ             
- มีปัจจัยป้อนเข้าจากภายนอก             
- มีกระบวนการที่ก่อให้เกิดผลผลิต             
- ปัจจัยป้อนออกเป็นผลผลิตหรือบริการ             
- มีวงจรต่อเนื่อง            
 - มีการต่อต้านแนวโน้มสู่ความเสื่อมของระบบ             
- ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการปรับตัว             
- มีแนวโน้มสู่ความสมดุล             
- มีแนวโน้มสู่คามซับซ้อน             
- มีหลายเส้นทางเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย

รูปแบบการวิเคราะห์ระบบ
มุ่งเน้นกระบวนการมากกว่าผลผลิต
  ประเมินประสิทธิภาพของระบบงาน
  ประเมินเวลา
  ประเมินการใช้งบประมาณ
  ประเมินความถูกต้องของกระบวนการ
  ประเมินผลผลิตหรือผลงาน

2. ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์  (Contingency theory)
          หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่งๆ เท่านั้น ในสถานการณ์ที่ต่างไป ผู้บริหารอาจกำหนดหลักการจากการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานการณ์เพื่อกำหนดแนวทางให้เหมาะสมกับโครงสร้าง เป้าหมายและผู้ปฏิบัติงานในองค์การ

3 ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
         ทฤษฏี Z  ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย William Ouchi โดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกันรวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ ความมั่นคงในงาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบปัจเจกบุคคล เลื่อนตำแหน่งช้า ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็นทางการ สนใจภาพรวมและครอบครัว   



            หลังจากนั้นอาจารย์ก็แบ่งนักศึกษาเป็นสองฝั่ง เพื่อให้นักศึกษาช่วยกันวางแผนว่าถ้าเกิดนักศึกษาเป็นผู้บริหารโรงเรียน นักศึกษาจะมีการวางแผนบริหารโรงเรียนของตนเองอย่างไร หลังจากที่นักศึกษาทั้งสองฝั่งได้คิดปรึกษากันเสร็จแล้วก็ส่งตัวแทนของแต่ละฝั่งออกไปเขียนบอร์ดหน้าชั้นเรียนเพื่อให้เพื่อนได้เห็นในการบริหารของแต่ละฝั่งว่าระหว่าง โรงเรียนเอกชนกับรัฐบาลเราจะมีการบริหารแบบไหนบ้าง



การนำเอาไปประยุกต์ใช้

          ได้ความรู้ในเนื้อหาการเรียนเพื่อที่จะนำเอาไปปรับใช้ในการวางแผนการบริหารได้จริง และยังสามารถนำทฤษฎีแต่ละทฤษฎีไปปรับใช้ในการสอนเด็กได้ และถ้าใครอยากสอบเป็นผู้บริหารในอนาคตก็สามารถเรียนรู้จากเนื้อหานี้ได้

ประเมินผล

ประเมินตนเอง

          แต่งการสุภาพเรียบร้อย มาตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียนและฟังขณะที่อาจารย์กำลังสอน ให้ความร่วมมือในการตอบคำถามหรือทำกิจกรรมต่างๆ

ประเมินเพื่อน

          เพื่อนแต่งกายสุภาพเรียบร้อย มาตรงต่อเวลา ตั่งใจฟังอาจารย์ในขณะที่อาจารย์สอน ให้ความร่วมมือในขณะทำกิจกรรมอย่างเต็มที่

ประเมินอาจารย์

          อาจารย์แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มาตรงต่อเวลา พูดจาไพเราะเป็นกันเอง อาจารย์เตรียมเนื้อหาการสอนมาได้ดีและเข้าใจง่าย อาจารย์มีเทคนิกการสอนที่ให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเข้าใจง่าย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น